วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ประวัติศาสตร์เกาหลี(ยุคสามอาณาจักรหลัง) ตอนที่5
ประวัติศาสตร์เกาหลี(ยุคสามอาณาจักรหลัง)
หลังจากอาณาจักรบัลแฮถูกราชวงศ์เหลียวตีจนแตกนั้นประชาชนพากันอพยพลงใต้มาบริเวณอาณาจักรโกคูรยอเดิม แล้วเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรบัลแฮ ก็สถาปนาอาณาจักรใหม่บริเวณอาณาจักรโกคูรยอเดิม แล้วให้ชื่อว่า อาณาจักรฮูโกคูรยอ แล้วสถาปนาตนเองป็นกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้ากุงเย ส่วนชาวแพกเจที่อยู่อาณาจักรรวมชิลลาก็ได้ก่อกบฏต่ออาณาจักรรวมชิลลามีหัวหน้าคือ คยอน ฮวอน แล้วไปตั้งถิ่นฐานที่บริเวณอาณาจักรแพกเจเดิมแล้วให้ชื่อว่าอาณาจักรฮูแพกเจ แล้วสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้าคยอน ฮวอน แล้วทำการก่อกบฏต่ออาณาจักรรวมชิลลาทำให้ชิลลาเกิดความระส่ำระส่าย จึงถือเป็นยุคสามอาณาจักรยุคหลัง
อาณาจักรบัลแฮ
เมื่ออาณาจักรโกคูรยอแตกใน พ.ศ. 1211 ในครั้งนั้นมีผู้คนกลุ่มต่างๆเป็นจำนวนมากอพยพหลบหนีออกจากโกคูรยอไปอย่างกระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทางไปอาศัยอยุ่อย่างกระจัดกระจายในที่ต่างๆ กระทั่งใน พ.ศ. 1239 ราชวงศ์ถังเกิดสงครามกับพวกคิตัน ซึ่งเป็นชนเผ่าเร่ร่อนกลุ่มหนึ่งที่มาตั้งหลักแหล่งอยู่ในแมนจูเรีย ช่วงเวลานั้นเองที่มีชาวโกคูรยอที่กระจัดกระจายไป ได้พยายามรวมตัวกันขึ้นใหม่เพื่อหมายไปตั้งถิ่นฐานเดิมในโกคูรยอ คนกลุ่มนี้นำโดย กอลโกล จุงซัง พาคนเหล่านี้กลับขึ้นไปยังดินแดนตอนเหนือ แต่ระหว่างทางกอลโกล จุงวัง เกิดเสียชีวิตลง หน้าที่การนำต่อมาจึงเป็นของบุตรชายคือ แด โจยอง ผู้นำคนต่อไป จนกระทั่งถึงตอนเหนือของโกคูรยอเดิม แล้วตั้งถิ่นฐานใหม่ตรงบริเวณมณฑลจี้หลิน ของจีนในปัจจุบัน แล้วสร้างเมืองหลวงใหม่ขึ้น คือ เมืองดองเกียว แล้วเรียกแผ่นดินที่ปักหลักใหม่แห่งนี้ว่า อาณาจักรจิน โดยถือว่าเป็นอาณาจักรสืบต่ออาณาจักรโกคูรยอ
ในระหว่างนั้นจีนยังตกอยู่ในปัญหาความขัดแย้งทั้งภายในและภายนอก จึงปล่อยให้อาณาจักรแห่งนี้ตั้งตัวเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน ชิลลาก็ไม่สามารถแผ่อิทธิพลขึ้นไปถึง เนื่องจากถ้านำทัพขึ้นไปก็อาจต้องสู้รบกับชนเผ่าเร่ร่อนเผ่าอื่นๆที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นด้วย อาจต้องเสียทีถูกอาณาจักรใหม่แห่งนี้ตีกลับมาได้ ในขณะที่อาณาจักรจินเติบโตขึ้นเรื่อยๆนั้น ต่อมาราชวงศ์ถังได้พยายามจะให้อาณาจักรแห่งนี้เข้ามาเป็นเขตอำนาจของจีนเพื่อเป็นรัฐกันชนกับชนเผ่าเร่ร่อนทางเหนือ
ใพ.ศ. 1256 ราชวงศ์ถังจึงได้ประกาศให้อาณาจักรแห่งนี้เป็นมณฑลหนึ่งของจีน และเนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่ติดกับคาบสมุทรเหลียวตงของจีนที่ล้อมรอบทะเลป๋อไห่ จึงเรียกมณฑลนี้ว่ามณฑลป๋อไห่ แต่ชาวจินเองถือว่าตนเป็นอาณาจักรโดยสมบูรณ์ แด โจยอง ก็ดำรงสถานะเป็นกษัตริย์ของอาณาจักรแห่งนี้ ซึ่งจีนเองก็ยินยอมรับสถานะความเป็นกษัตริย์ของ แด โจยอง แต่ยังคงถือว่าเป็นเขตอำนาจของจีนอยู่เช่นนั้นและจากการที่จีนเรียกดินแดนนี้ว่าป๋อไห่ อาณาจักรแห่งนี้จึงถูกเรียกว่า บัลแฮ ซึ่งเป็นภาเกาหลีมากกว่าที่จะเรียกว่าอาณาจักรจิน
การล่มสลายของอาณาจักรบัลแฮเริ่มต้นขึ้นเมื่อเกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างราชวงศ์เหลียว หรือพวกชนเผ่าคิตัน เข้าตีดินแดนของจีนสมัยปลายราชวงศ์ถัง ในพุทธศตวรรษที่ 15อาณาจักรบัลแฮจึงต้องถูกตีไปด้วยเนื่องจากเป็นเขตอิทธิพลที่อยู่ใกล้ชิดติดกันระหว่างเขตดินแดนระหว่างจีนและคิตันในแมนจูเรีย ในพ.ศ. 1545 ราชวงศ์ถัง ถูกราชวงศ์เหลียวตีจนแตกออกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย และพวกคิตันก็ทำสงครามต่อเนื่องจนกระทั่งได้ครอบครองดินแดนทางตอนเหนือของจีนส่วนใหญ่ การทำสงครามยึดครองครั้งนี้ อาณาจักรบัลแฮก็ถูกยึดครองไปด้วยเช่นกัน ราชวงศ์เหลียวเข้าตีบัลแฮจนแตกใน พ.ศ. 1469 นับเป็นการสิ้นสุดอาณาจักรบัลแฮ แม้ในภายหลังราชวงศ์เหลียวได้ตั้งอาณาจักรใหม่ขึ้นแทน คือ อาณาจักรตงตาน เป็นอาณาจักรที่ก่อตั้งได้เพียง 10 ปี ในพ.ศ. 1479 ราชวงศ์เหลียวก็ควบคุมอาณาจักรตงตานมาเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์เหลียว และประชาชนชาวบัลแฮรู้ว่าตนเองสืบเชื้อสายจากชาวชาวโกคูรยอ ไม่ใช้ชาวแมนจู จึงได้อพยพลงใต้ไปยังบริเวณอาณาจักรโกคูรยอเก่าแล้วสถาปนาอาณาจักรใหม่ขึ้นมาคืออาณาจักรฮูโกคูรยอหรืออาณาจักรโกคูรยอใหม่
อาณาจักรโกคูรยอใหม่
แทบง,ฮูโกคูรยอ หรือ อาณาจักรโกคูรยอใหม่ (เกาหลี: 태봉, ฮันจา: 泰封 ค.ศ. 901 - ค.ศ. 918) เป็นหนึ่งใน สามอาณาจักรหลัง ของเกาหลีซึ่งประกอบไปด้วย อาณาจักรฮูแพกเจ , อาณาจักรรวมซิลลา และ อาณาจักรฮูโกคูรยอ ถูกสถาปนาโดย กุง เย ในปี ค.ศ. 901 และหลังจากพระเจ้ากุงเยถูกสำเร็จโทษ วังกอนจึงขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อมาในปีค.ศ. 935 ภายหลังวังกอนสามารถโจมตี อาณาจักรฮูแพกเจ และ อาณาจักรรวมซิลลา ได้จึงรวมแผ่นดินแล้วเปลี่ยนชื่อเป็น อาณาจักรโครยอ แล้วเปลี่ยนพระนามเป็น พระเจ้าแทโจ
อาณาจักรรวมซิลลา
อาณาจักรรวมซิลลา (เกาหลี: 통일 신라,อังกฤษ: Unified Silla) เป็นอาณาจักรที่สถาปนาเมื่อปี ค.ศ. 668 โดย พระเจ้ามุนมู แห่ง อาณาจักรซิลลา ภายหลังจากการรวมอาณาจักรโกคูรยอ และ อาณาจักรแพกเจ เข้าเป็นหนึ่งเดียวกับซิลลาโดยอาณาจักรแห่งนี้มีราชธานีอยู่ที่ คยองจู ซึ่งอาณาจักรรวมซิลลาได้ล่มสลายลงในปี ค.ศ. 935 ภายหลังจากการยอมจำนนต่อ วัง กอน ของ พระเจ้าคยองซุน กษัตริย์องค์สุดท้าย
อาณาจักรฮูแพกเจ
อาณาจักรฮูแพกเจ หรือ อาณาจักรแพกเจใหม่ (เกาหลี: 후백제, ฮันจา: 後百濟 ค.ศ. 892 – ค.ศ. 936) หนึ่งในสามอาณาจักรหลังของเกาหลี คือ อาณาจักรฮูโกคูรยอหรืออาณาจักรโกคูรยอใหม่ และอาณาจักรชิลลา โดยถูกก่อตั้งโดย คยอน ฮวอน ใน ค.ศ. 900 และล่มสลายลงไปอีกใน ค.ศ. 936 โดยกองทัพของวังกอนปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โครยอมาโจมตี มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองจอนจู(ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดจอนลาเหนือ) โดยหนังสือซัมกุกยูซาและซัมกุกซากิกล่าวว่าเป็นอาณาจักรสืบต่อมาจากอาณาจักรแพกเจ
ใน ค.ศ. 892 ที่เมืองกวางจูนั้นที่เคยเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักรแพกเจ คยอน ฮวอน ได้ตั้งกองกำลังขึ้นเพื่อก่อกบฏต่ออาณาจักรชิลลา โดยใช้เวลาถึง 9 ปีในการก่อกบฏ โดยในขณะนั้นมีการก่อกบฏไปทั่วทั้งอาณาจักรชิลลาทำให้อาณาจักรชิลลาเกิดความระส่ำระส่ายขึ้น กระทั่งได้แยกตัวออกมาตั้งรัฐอิสระขึ้น
คยอน ฮวอน ได้ให้ชื่ออาณาจักรใหม่นี้ว่า ฮูแพกเจหรือแพกเจใหม่นับว่าเป็นอาณาจักรสืบต่อของอาณาจักรแพกเจที่ถูกโจมตีและถูกผนวกเข้าเป็นอาณาจักรเดียวกันของชิลลาใน ค.ศ. 660
คยอน ฮวอน ได้ตั้งตนเป็นกษัตริย์แห่งฮูแพกเจและอาณาจักรหูแพกเจได้เปิดสัมพันธ์กับอาณาจักรอู๋เยว่ ของจีนเพื่อสร้างพันธมิตรทางอำนาจระหว่างรัฐทั่งสอง แต่อาณาจักรหูโกคูรยอเองก็เริ่มสร้างเสริมกำลังของตนเช่นกัน อย่างไรก็ตามทางจีนเองก็เกิดการก่อกบฏเช่นกันในปลายราชวงศ์ถัง โดยเป็น ยุคห้าราชวงศ์สิบอาณาจักร ของจีนบรรดาหัวเมืองต่างๆมีการแบ่งอำนาจกันเป็นห้าราชวงศ์ สิบอาณาจักร คือ ราชวงศ์เหลียว ราชวงศ์ถัง ราชวงศ์จิ้น ราชวงศ์ฮั่น และราชวงศ์โจวกับอีกสิบอาณาจักร หลังจากวังกอนได้ปลดพระเจ้ากุงเยพระราชาแห่งฮูโกคูรยอลงนั้นก็นำกองทัพมาโจมตีอาณาจักรฮูแพกเจ จำนวน 100,000 นาย อาณาจักรฮูโกคูรยอและอาณาจักรฮูแพกเจได้ทำสงครามกันที่ ซอนซาน (ปัจจุบันอยู่ที่จังหวัดคยองซานเหนือ)ในที่สุดฮูแพกเจก็เริ่มถูกโจมตีอย่างหนัก ในปลาย ค.ศ. 936 พระเจ้าคยองซุนแห่งอาณาจักรชิลลาได้ยอมแพ้ต่ออาณาจักรฮูโกคูรยอ และภายหลังฮูแพกเจก็ถูกยึดครอง วังกอนจึงได้รวมอาณาจักรฮูโกคูรยอ อาณาจักรฮูแพกเจ และอาณาจักรชิลลาเข้าด้วยกันเป็นอาณาจักรเดียวกันอีกครั้ง และเปลี่ยนชื่ออาณาจักรแห่งใหม่อาณาจักรโครยอโดยยึดตามชื่ออาณาจักรโกคูรยอเพราะสืบเชื้อสายมาจากโกคูรยอ ดังนั้น อาณาจักรฮูแพกเจจึงนับเป็นการสิ้นสุดอาณาจักรแพกเจโดยสมบูรณ์ใน ค.ศ. 936ในรัชสมัยพระเจ้าซินกอมกษัตริย์องค์ที่สองแห่งฮูแพกเจ
วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ประวัติศาสตร์เกาหลี(ยุคอาณาจักรเหนือใต้) ตอนที่4
ประวัติศาสตร์เกาหลี(ยุคอาณาจักรเหนือใต้) ตอนที่4
ยุคสมัยอาณาจักรเหนือใต้ (เกาหลี: 남북국 시대, ฮันจา: 南北國時代) เมื่อสิ้นสุดสมัย
3 อาณาจักรนั้น อาณาจักรชิลลาถือว่าเป็นผู้มีชัยเหนืออาณาจักรอื่นบนคาบสมุทรเกาหลีทั้งหมด
ในทางประวัติศาสตร์ถือว่ายุคสมัยนี้ อาณาจักรชิลลาเป็นผู้รวบรวมแผ่นดินเกาหลีให้เป็นผืนเดียวกันได้เป็นครั้งแรกนับแต่ยุคสมัยดึกดำบรรพ์เป็นต้นมา
จึงเรียกว่า ยุคชิลลารวมอาณาจักร ช่วงยุคสมัยนี้นับจากปีที่อาณาจักรโกคูรยอและอาณาจักรแพกเจล่มสลายลงไปใน พ.ศ. 1211 และสืบเนื่องไปจนถึง พ.ศ. 1478 แต่โดยที่จริงแล้ว อาณาจักรชิลลาไม่ได้ครอบครองดินแดนทั้งหมดไว้
ที่ครอบคลุมได้ทั้งหมดนั้นเพียงดินแดนทางตอนใต้เท่านั้น
โดยเฉพาะอย่าวยิ่งดินแดนของ โคกูรยอเดิม ชิลลาก็ได้มาเพียงบางส่วนเท่านั้น
ไม่เพียงที่ต้องยกคาบสมุทรเหลียวตงให้กับจีน แต่ดินแดนทางเหนือจรดไปถึงแมนจูเรียตกอยู่ในการควบคุมของอาณาจักรเกิดใหม่อีกอาณาจักรหนึ่ง
ชื่อว่า อาณาจักรบัลแฮ หรือเรียกว่า ป๋อไห่ ในชื่อเรียกตามภาษาจีน ในยุคสมัยนี้
นักประวัติศาสตร์บางท่านจึงจัดว่าเป็นยุคอาณาจักรเหนือใต้ของเกาหลี
ใน พ.ศ. 1271 อาณาจักรบัลแฮได้ส่งทูตไปเปิดสัมพันธ์กับญี่ปุ่นการทำเช่นนี้ก็หวังใช้ญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรในการข่มขู่ชิลลาที่คิดจะโจมตีบัลแฮ
ซึ่งก็ได้ผล
เพราะชิลลาไม่สามารถเข้าทำลายยึดครองบัลแฮได้แต่อย่างใดทั้งๆที่มีความพยายาม
กระทั่งสองอาณาจักรต้องจบสิ้นลงไปพร้อมกันในพุทธศตวรรษที่ 15 การล่มสลายของอาณาจักรบัลแฮเริ่มต้นขึ้นเมื่อเกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างราชวงศ์เหลียว หรือพวกชนเผ่าคิตัน เข้าตีดินแดนของจีนสมัยปลายราชวงศ์ถัง ในพุทธศตวรรษที่ 15 อาณาจักรบัลแฮจึงต้องถูกตีไปด้วยเนื่องจากเป็นเขตอิทธิพลที่อยู่ใกล้ชิดติดกันระหว่างเขตดินแดนระหว่างจีนและคิตันในแมนจูเรีย ในพ.ศ. 1545 ราชวงศ์ถังถูกราชวงศ์เหลียวตีจนแตกออกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย
และพวกคิตันก็ทำสงครามต่อเนื่องจนกระทั่งได้ครอบครองดินแดนทางตอนเหนือของจีนส่วนใหญ่ การทำสงครามยึดครองครั้งนี้ อาณาจักรบัลแฮก็ถูกยึดครองไปด้วยเช่นกันราชวงศ์เหลียวเข้าตีบัลแฮจนแตกใน พ.ศ. 1469 นับเป็นการสิ้นสุดอาณาจักรบัลแฮ แม้ในภายหลังราชวงศ์เหลียวได้ตั้งอาราจักรใหม่ขึ้นแทน คือ อาณาจักรตงตาน
เป็นอาณาจักรที่ก่อตั้งได้เพียง 10 ปี ใน พ.ศ. 1479 ราชวงศ์เหลียวก็ควบคุมอาณาจักรตงตานมาเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์เหลียว ในช่วงที่อาณาจักรบัลแฮประสบสภาวะสงครามกับพวกคิตันจนกระทั่งแตกนั้น
ทางอาณาจักรชิลลาเองก็เกิดความระส่ำระส่าจากภายในขึ้น
มีการลอบปลงพระชนม์กษัตริย์หลายพระองค์เพื่อแย่งชิงอำนาจกัน
จุดเริ่มต้นมาจากสมัยที่พระราชินีจินซอง ขึ้นปกครองแผ่นดินมีความอ่อนแอ
พวกขุนนางจึงต่างพากันกอบโกยประโยชน์ส่วนตัว บ้านเมืองเต็มไปด้วยโจรผู้ร้ายปล้นชิง
ความโกลาหลปั่นป่วนของชิลลาเช่นนี้ทำให้เกิดการแยกตัวออกมาตั้งรัฐอิสระระหว่างกลุ่มขุนนางกลุ่มต่างๆ
กันขึ้นจนเกิดเป็นสงครามระหว่างกัน กระทั่งในที่สุด
กลุ่มที่เข้มแข็งกว่าก็สามารถทำลายกลุ่มอื่นไ ได้ ที่สุดอาณาจักรชิลลาก็ล่มสลายลงใน พ.ศ. 1478 กลุ่มที่ได้รับชัยชนะจึงเข้ายึดครองเขตอำนาจเดิมของอาณาจักรชิลลาทั้งหมด
แล้วตั้งตนเป็นอาณาจักรใหม่บนคาบสมุทรเกาหลีขึ้น คือ ราชวงศ์โครยอ นับเป็นการสิ้นสุดยุคอาณาจักรเหนือใต้ครั้งแรกก่อนที่เกาหลีจะแบ่งออกเป็นอาราจักรเหนือใต้ครั้งที่ 2 คือ เกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ในปัจจุบัน
สรุปเมื่ออาณาจักรซิลลาสามารถรวบรวมอาณาจักรแพกเจและอาณาจักรโกคูรยอเข้าด้วยกันได้ในปี ค.ศ. 668 แต่โดยที่จริงแล้วอาณาจักรซิลลาไม่ได้ครอบครองดินแดนทั้งหมดไว้เพียงแต่ครองครองดินแดนทางใต้เท่านั้น โดยเฉพาะดินแดนของอาณาจักรโกคูรยอซิลลาครอบครองเพียงบางส่วนเท่านั้น อาณาจักรซิลลาได้ยกดินแดนบนคาบสมุทรเหลียวตงให้แก่ราชวงศ์ถังของประเทศจีนหลังสิ้นสุดสงครามซิลลา-ถัง แต่ดินแดนทางเหนือจรดไปถึงแมนจูเรียตกอยู่ในการควบคุมของอาณาจักรเกิดใหม่อีกอาณาจักรหนึ่ง ชื่อว่า อาณาจักรบัลแฮ หรือเรียกว่า ป๋อไห่ ในชื่อเรียกตามภาษาจีน ในยุคสมัยนี้ นักประวัติศาสตร์บางท่านจึงจัดว่าเป็นยุคอาณาจักรเหนือใต้ของเกาหลี ประกอบด้วยสองอาณาจักรคือ
อาณาจักรบัลแฮ ตั้งอยู่ทางตะวันออกของแมนจูเรียและตอนเหนือของคาบสมุทรเกาหลีกับคาบสมุทรเหลียวตง ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 698 โดยพระเจ้าโกหรือพระเจ้าแดโจยอง เมื่อครั้งอาณาจักรโกคูรยอแตก ประชาชนได้กระจัดกระจายไปในที่ต่างๆ แดโจยองจึงได้รวบรวมประชาชนชาวโกคูรยอไปที่เมืองดองเกียว โดยเรียกว่าอาณาจักรจิน ภายหลังราชวงศ์ถังให้ชื่อใหม่เป็นอาณาจักรบัลแฮ และให้อาณาจักรบัลแฮเป็นเขตอำนาจของราชวงศ์ถัง อาณาจักรบัลแฮได้ล่มสลายลงเมื่อปี ค.ศ. 926 รัชสมัยพระเจ้าอินซอน การล่มสลายของบัลแฮเริ่มจากการทำสงครามกับราชวงศ์เหลียวของเผ่าคิตัน ราชวงศ์เหลียวได้โจมตีราชวงศ์ถังจนแตกเป็นแคว้นต่างๆมากมาย ในพุทธศตวรรษที่ 15 และบัลแฮเป็นเขตอำนาจของราชวงศ์ถังจึงถูกตีแตกไปด้วย ภายหลังประชาชนชาวโกคูรยอได้อพยพลงไปยังอาณาจักรซิลลาแล้วตั้งอาณาจักรแทบงขึ้นมา อาณาจักรบัลแฮมีอายุ 228 ปี
อาณาจักรซิลลา หรือ อาณาจักรรวมซิลลา หลังจากพระเจ้ามุนมูสามารถรวมอาณาจักรแพกเจและอาณาจักรโกคูรยอเข้าเป็นอาณาจักรเดียวกันได้ ในปี ค.ศ. 668 อาณาจักรซิลลาถือว่าเป็นอาณาจักรแรกในประวัติศาสตร์เกาหลีที่สามารถรวบรวมแคว้นต่างๆ เข้าด้วยกันได้โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองคยองจู และอาณาจักรซิลลาล่มสลายลงเมื่อปี ค.ศ. 935 รัชสมัยพระเจ้าคยองซุน ได้ยอมจำนนต่ออาณาจักรฮูโกคูรยอและผนวกเข้ากับอาณาจักรฮูโกคูรยอ อาณาจักรซิลลามีอายุมากถึง 1092 ปี
ป้ายกำกับ:
ประวัติศาสตร์เกาหลี
วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ประวัติศาสตร์เกาหลี(ยุคอาณาจักรเอกภาพ "อาณาจักรชิลลา")ตอนที่3
ประวัติศาสตร์เกาหลี(ยุคอาณาจักรเอกภาพ "อาณาจักรชิลลา")ตอนที่3
เมื่่ืออาณาจักรชิลลาเข้มแข็งขึ้น อาณาจักรแพกเจจึงหันไปผูกมิตรกับอาณาจักรโกคูรยอ ส่วนอาณาจักรชิลลาหันไปผูกมิตรกับราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถังของจีน กองกำลังผสมระหวางจีนและชิลลายึดครองอาณาจักรแพกเจได้เมื่อ พ.ศ. 1203 และยึดครองอาณาจักรโคกูรยอได้ใน พ.ศ. 1211 โดยจีนเข้ามาปกครองอาณาจักรโคกูรยอในช่วงแรก ต่อมาอาณาจักรชิลลากับราชวงศ์ถังเกิดขัดแย้งกัน อาณาจักรชิลลาจึงเข้ายึดอาณาจักรโคกูรยอจากจีนและเข้าปกครองคาบสมุทรเกาหลีอย่างเด็ดขาดเมื่อ พ.ศ. 1278
ในช่วงแรก อาณาจักรซิลลาได้มีการลดภาษีการค้าเกษตรลงหนึ่งในสิบจากเดิมก่อนที่จะทำการรวมกันและกำหนดให้เมืองขึ้นได้ชำระด้วยสินค้าชนิดพิเศษของเมืองนั้น
อาณาจักรรวมซิลลาได้ทำสำมะโนประชากรทางด้านขนาดเมืองและด้านประชากร ตลอดจน,ม้า, วัว รวมทั้งผลิตผลชนิดพิเศษ และได้ทำการบันทึกข้อมูลใน มินจงมุนโซ (민정문서) ซึ่งการรายงานมีการจัดทำโดยผู้นำของแต่ละเมือง
อาณาจักรชิลลาเจริญ สูงสุดในยุคกษัตริย์คยองตอก หลังจากนั้นได้เสื่อมลงโดยสาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งในหมู่เชื้อพระวงศ์และ เกิดการปฏิวัติบ่อยครั้ง กลุ่มชาวนาและกลุ่มอำนาจท้องถิ่นที่รู้สึกว่าถูกกดขี่ได้รวมกำลังกันต่อต้าน อำนาจรัฐ วังกอน ผู้นำกลุ่มต่อต้านคนหนึ่ง เข้ายึดอำนาจและสถาปนาราชวงศ์โครยอขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1478
ป้ายกำกับ:
ประวัติศาสตร์เกาหลี
วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ประวัติศาสตร์เกาหลี(ยุคสามก๊ก) ตอนที่2
ประวัติศาสตร์เกาหลี(ยุคสามก๊ก) ตอนที่2
เมื่อเป็นเอกราชจากจีน ดินแดนเกาหลีในขณะนั้นแบ่งเป็น 3 อาณาจักรด้วยกันคือ
ราชอาณาจักรโกคูรยอ (เกาหลี: 고구려, ฮันจา: 高句麗, MC: Goguryeo, MR: Koguryŏ 37 ปีก่อนค.ศ. - ค.ศ. 668) เป็นราชอาณาจักรเกาหลีโบราณ ปัจจุบัน ดินแดนส่วนใหญ่อยู่ใน เกาหลีเหนือ และคาบสมุทรเหลียวตงของ จีน ราชอาณาจักรนี้ถูกสถาปนาโดย พระเจ้าดงเมียงยอง ราชวงศ์นี้มีอาณาเขตตั้งแต่เกาหลีเหนือปัจจุบันแมนจูเรียถึงรัสเซียบางส่วนเป็นราชวงศ์แรก ที่ถูกบันทึกหลักฐานราชวงศ์นี้มีกษัตริย์ที่เป็นมหาราชองค์แรกของเกาหลีคือ พระเจ้ากวางแกโตมหาราช กษัตริย์องค์ที่ 19 ของราชวงศ์ทรงเก่งทั้งเรื่องรบและเรื่องรักทรงขยายพระราชอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางต่อมาราชอาณาจักรนี้เริ่มมีปัญหารบรากับอาณาจักรแพคเจและอาณาจักรชิลลา ในสมัยราชวงศ์ถัง (618-907) ในขณะนั้นตรงกับรัชสมัยจักรพรรดิถังเกาจง (หลี่จื้อ) จักรพรรดิองค์ที่ 3 ประมาณปี ค.ศ. 660 ต่อมาสมัยกษัตริย์องค์ที่ 28 ของราชวงศ์ก็ถูกพวกชิลลาตีแตกและรวบรวมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรทำให้ราชอาณาจักรโกคูรยอที่ปกครองมายาวนานกว่า 600 ปีก็สิ้นสุดลง
เมืองหลวงและสุสานของราชอาณาจักรโกคูรยอโบราณ เมืองหลวงและสุสานของราชอาณาจักรโกคูรยอโบราณ (จีนตัวย่อ: 高句丽王城、王陵及贵族墓葬) คือแหล่งมรดกโลกที่ประกอบด้วยแหล่งโบราณคดีในเมือง 3 เมือง ได้แก่ เมืองอู๋หนิ่ว ในมณฑลเหลียวหนิง เมืองกั๋วเน่ย (กุงแนซง - ตามภาษาเกาหลี) และหวันตู (ฮวันโด - ตามภาษาเกาหลี) ในมณฑลจี๋หลิน และสุสานอีก 40 แห่ง ซึ่งเป็นของราชวงศ์ 14 แห่ง และขุนนาง 26 แห่ง ทั้งหมดแสดงถึงร่องรอยวัฒนธรรมโกคูรยซึ่งได้มีอำนาจเหนือบางส่วนของภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือของจีนและคาบสมุทรเกาหลีในช่วง 277 ปีก่อน ค.ศ. จนถึง ปี ค.ศ. ที่ 668
แหล่งโบราณคดีในเมืองอู๋หนิ่วได้ทำการขุดค้นไปเพียงเล็กน้อย ส่วนเมืองกั๋วเน่ย ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองจี๋หนิงในปัจจุบันนั้นได้ทำหน้าที่เป็นเมืองหลวงรอง หลังจากเมืองหลวงของโกคูรยอได้ย้ายไปตั้งที่กรุงเปียงยาง และสำหรับเมืองหวันตู หนึ่งในเมืองหลวงของราชอาณาจักรโกคูรยอนั้น ได้มีร่องรอยของพระราชวังและสุสานจำนวนกว่า 37 แห่ง
สมัยจักรพรรดิฮั่นหยวนตี้ ปีที่ 2 แห่งรัชกาลเจี้ยนเจา (ราว 37 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (202 ก่อนคริสต์ศักราช - ค.ศ. 25) บรรพบุรุษชาวเกาหลีได้แผ้วถางสร้างเมืองขึ้นที่บริเวณอำเภอเกาโกวหลี (ปัจจุบันคือ อ.ซินปิน ในมณฑลเหลียวหนิงของจีน) หลังจากนั้นก็สถาปนาเมืองหลวงและขยายอำนาจจนมีอาณาเขตกว้างขวางไปทั่ว ตามที่รู้จักกันในชื่อ ‘อาณาจักรโคคูเรียว’
ยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของราชอาณาจักร โคคูเรียว (ราชอาณาจักรโกคูรยอ) หรือเกาโกวหลี ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 5 ได้แผ่อำนาจครอบคลุมภาคตะวันออกของมณฑลจี๋หลิน ตะวันออกเฉียงเหนือของมณฑลเหลียวหนิง จนถึงดินแดนทางตอนเหนือของคาบสมุทรเกาหลีในปัจจุบัน ราชอาณาจักรโคคูเรียวมีกษัตริย์ปกครองรวมทั้งสิ้น 28 รัชกาล* ระยะเวลาอันรุ่งเรืองจนถึงยุคเสื่อมอยู่ในช่วงเดียวกับราชวงศ์ฮั่นตะวันตกจนถึงราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) ของจีน รวมระยะเวลาราว 705 ปี
ที่ตั้งและอาณาเขต เมืองเก่าแห่งราชอาณาจักรโคคูเรียว (ราชอาณาจักรโกคูรยอ) ตั้งอยู่บนเขาอู๋หนี่ว์ซัน (五女山) ที่คาบเกี่ยวระหว่างพื้นที่อำเภอซินปิน (新宾县) และอำเภอปกครองตนเองของชนชาติแมนจู หวนเหริน (桓仁县) ในมณฑลเหลียวหนิง มาจนถึงเมืองจี๋อัน (集安市) ในมณฑลจี๋หลิน เป็นอาณาบริเวณของเมืองเก่าอู๋หนี่ว์ซันซันเฉิง เมืองเก่ากั๋วเน่ยเฉิง เมืองเก่าหวันตูซันเฉิง โบราณสถานสุสานกษัตริย์ 12 หลุม และสุสานคนในตระกูลสูงศักดิ์ 26 หลุม รวมถึงหลุมศพแม่ทัพและศิลาจารึกโบราณของกษัตริย์ห่าวไท่หวัง (好太王)
มรดกโลก เมืองหลวงและสุสานของราชอาณาจักรโกคูรยอโบราณได้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในการ ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 28 เมื่อปี พ.ศ. 2547 ที่เมืองซูโจว ประเทศจีน
อาณาจักรแพกเจ (เกาหลี: 백제 , ฮันจา: 百濟, 18ปีก่อนค.ศ. - ค.ศ. 660) สถาปนาขึ้นโดยพระเจ้าอนจอพระราชโอรสองค์เล็กใน พระเจ้าดงเมียงยอง ในพุทธศตวรรษที่ 13 เมื่ออาณาจักรโกคูรยอพยายามจะกลืนอำนาจของอาณาจักรพูยอ พระเจ้าอนจอได้นำกำลังคนกลุ่มหนึ่งแยกตัวออกมาจากอาณาจักรโกคูรยอลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลอำนาจของอาณาจักนมาฮัน โดยข้ามแม่น้ำฮันมา เลือกชัยภูมิอยู่ใกล้ๆกับที่เป็นกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ในปัจจุบัน เพื่อตั้งเมืองใหม่ชื่อ วิเรซอง แล้วสถาปนาเป็นอาณาจักรซิปเจหลังสิ้นรัชกาลของพระองค์มี
กษัตริย์ปกครองต่อมาอีกหลายพระองค์ จนถึงกษัตริย์รัชกาลที่ 31 ซึ่งเป็นรัชกาลสุดท้ายคือ พระเจ้าอึยจา ก็พ่ายแพ้แก่กองทัพพันธมิตรซึ่งประกอบด้วยกองทัพชิลลาและกองทัพ ถัง ของ จีน ในปี ค.ศ. 660 พ.ศ. 1203 ทำให้อาณาจักรแพคเจที่ปกครองมานานถึง 678 ปีก็ถึงกาลอวสาน
ในบันทึกประวัติศาสตร์ ซัมกุก ยูซา กล่าวว่า พระเจ้าอนจอนั้นก็คือโอรสพระองค์หนึ่งของพระเจ้าดงเมียงยอง ที่ขัดแย้งกับพี้น้องสายอื่น แล้วแยกตัวออกมาก่อตั้งอาณาจักรใหม่ชื่อว่า ซิปเจ ต่อมาแคว้นบีริวถูกอาณาจักรโกคูรยอโจมตี กษัตริย์ของแคว้นบีริวปลิดชีพตนเอง ผู้คนของบีริวก็อพยพเข้ามารวมกันในอาณาจักรซิปเจ จึงทำให้อาณาจักรแห่งนี้ใหญ่ขึ้น ซึ่งต่อมาพระเจ้าอนจอก็เปลี่ยนชื่ออาณาจักรใหม่เป็น แพกเจ การเติบโตอย่างรวดเร็วของอาณาจักรแพกเจ ทำให้กษัตริย์ของอาณาจักรมาฮันคิดระแวง จึงพยายามกดดันพระเจ้าอนจอจนต้องย้ายเมืองหลวงอยู่หลายครั้งในรัชกาล พระเจ้าโกอิ กษัตริย์องค์ที่ 8 ของอาณาจักรแพคเจทรงทำให้อาณาจักรขยายตัวอย่างมากและในปี ค.ศ. 249 (พ.ศ. 792) ทรงแผ่ขยายการเป็นสัมพันธมิตรกับ อาณาจักรกายา (ค.ศ. 42-642) อาณาจักรเล็กๆซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของแพคเจและในรัชกาล พระเจ้ากึนโชโก กษัตริย์องค์ที่ 13 แห่งอาณาจักรแพคเจได้ทรงขยายชายแดนออกไปถึงทางเหนือจนติดกับชายแดนของ อาณาจักรโกคูรยอ
กระทั่ง พ.ศ. 675 ในสมัยพระเจ้าแกรูเมืองหลวงก็ถูกย้ายไปอยู่ที่บริเวณภูเขาพุกฮัน ซึ่งปัจจุบันคือเมืองกวางจู ตลอดช่วงพุทธศตวรรษที่ 6 แลที่ 7 แพกเจพยายามขยายอำนาจครอบครุมเมืองอื่นๆโดยตลอด จนกระทั่งในพุทธศตวรรษที่ 8 ก็สามารถกลืนเขตอิทธิพลทั้งหมดของอาณาจักรมาฮันได้อย่างเบ็ดเสร็จ แล้วตั้งตนเป็นอาณาจักรแพกเจที่ยึดครองอำนาจสืบต่อแทนอาณาจักรมาฮัน
อาณาจักรซิลลา (เกาหลี: 신라; ฮันจา: 新羅, 57 ปีก่อนคริสตศักราช — ค.ศ. 935) เป็นหนึ่งในอาณาจักรยุคสามก๊กแห่งเกาหลีสถาปนาโดยพระเจ้าฮยอกกอเซเมื่อ 57 ปีก่อนคริสตกาล (พ.ศ. 486) ซึ่งอาณาจักรซิลลาเกิดจากการรวมตัวกันของอาณาจักรจินฮันกับชนเผ่าต่างๆทำให้อาณาจักรเติบโตขึ้นแล้วเปลี่ยนชื่อเป็นอาณาจักรซิลลา อาณาจักรซิลลาต้องทำสงครามกับอีก 3 อาณาจักรใหญ่คืออาณาจักรโคกูรยอ อาณาจักรแพคเจ และอาณาจักรคายา อยู่นานกว่า 500—600 ปีก่อนที่พระเจ้ามุนมูกษัตริย์องค์ที่ 30 แห่งอาณาจักรซิลลาซึ่งครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. 661—681 จะสามารถรวบรวมแผ่นดินได้สำเร็จด้วยการกลืนโคกูรยอและแพคเจเข้าเป็นส่วนหนึ่งของซิลลาก่อนที่จะถูกโค่นอำนาจลงในปี ค.ศ. 935
ป้ายกำกับ:
ประวัติศาสตร์เกาหลี
ประวัติศาสตร์เกาหลี(ยุคเผ่า) ตอนที่1
ประวัติศาสตร์เกาหลี(ยุคเผ่า) ตอนที่1
ได้มีการขุดค้นพบเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากหินที่บ่งบอกถึงการตั้งถิ่นฐานบนคาบสมุทรเกาหลีซึ่งมีอายุประมาณ 50,000 ปี ทำให้ทราบว่ามีผู้คนอาศัยอยู่บนคาบสมุทรเกาหลีมาตั้งแต่สมัยยุคหินเก่าแล้ว หลังจากนั้นได้มีการค้นพบเครื่องปั้นดินเผาที่ทำจากดินเหนียวปนทราบประเภทไห ซึ่งมีลักษณะลวดลายเป็นแนวยาว โดยนักโบราณคดีได้เรียกเครื่องปั้นดินเผารูปแบบนี้ว่า “เครื่องมือเครื่องใช้ลายฟันหวี” เครื่องปั้นดินเผาแบบนี้นั้น พบมากในบริเวณเอเชียเหนือและแถบไซบีเรีย
นอกจากนี้แล้ว ยังพบเครื่องมือเครื่องใช้อื่นๆ เช่น หัวธนูและมีดที่ทำจากหิน ฉมวกและตาข่ายดักปลา ทำให้ทราบว่า บรรพบุรุษชาวเกาหลีในสมัยก่อนนั้น ตั้งถิ่นฐานอยู่แถบชายทะเล หาเลี้ยงชีพด้วยการจับปลาและล่าสัตว์ จากนั้น ก็ได้มีการขยายการตั้งถิ่นฐานเข้ามาด้านในของคาบสมุทรมากขึ้น ได้มีการริเริ่มทำการเพาะปลูกขึ้นแล้วในสมัยนี้ หลังจากนั้นแล้ว ก็ได้มีการรับเอาเทคโนโลยีการผลิตโลหะสัมฤทธิ์จากจีนมาใช้ทำเป็นอาวุธ
ชาวเกาหลีในขณะนั้น อาศัยอยู่ตามถ้ำ มีการรวมกลุ่มกันครอบครัว และรวมตัวกันเป็นสายตระกูล โดยมีชายที่มีอายุมากที่สุดในสายตระกูลเป็นหัวหน้า เมื่อหัวหน้าตระกูลตัดสินใจอะไร สมาชิกก็ต้องปฏิบัติตาม ยกเว้นการตัดสินใจในเรื่องสำคัญจะมีการปรึกษากันเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน นอกจากหัวหน้าสายตระกูลจะมีหน้าที่ทางด้านการปกครองแล้ว ยังมีหน้าที่ทางศาสนาด้วย ชาวเกาหลีในสมัยนั้นยังมีคติความเชื่อว่ามีวิญญาณในธรรมชาติและจักรวาล (Animism) และหัวหน้าตระกูลได้รับการยอมรับว่าสามารถติดต่อกับวิญญาณเหล่านี้ได้ ดังนั้น หัวหน้าตระกูลจึงต้องประกอบพิธีกรรมบวงสรวงวิญญาณเพื่อป้องกันเหตุร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นกับสายตระกูลของตน
ลักษณะที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในยุคก่อนประวัติศาสตร์ คือ การห้ามแต่งงานในสายตระกูลเดียวกัน จึงทำให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสายตระกูล เมื่อความสัมพันธ์กว้างขวางขึ้น จึงเกิดการรวมตัวกันเป็นชนเผ่า มีชื่อว่า ชนเผ่าโชซอนเก่า
นอกจากนี้แล้ว ยังพบเครื่องมือเครื่องใช้อื่นๆ เช่น หัวธนูและมีดที่ทำจากหิน ฉมวกและตาข่ายดักปลา ทำให้ทราบว่า บรรพบุรุษชาวเกาหลีในสมัยก่อนนั้น ตั้งถิ่นฐานอยู่แถบชายทะเล หาเลี้ยงชีพด้วยการจับปลาและล่าสัตว์ จากนั้น ก็ได้มีการขยายการตั้งถิ่นฐานเข้ามาด้านในของคาบสมุทรมากขึ้น ได้มีการริเริ่มทำการเพาะปลูกขึ้นแล้วในสมัยนี้ หลังจากนั้นแล้ว ก็ได้มีการรับเอาเทคโนโลยีการผลิตโลหะสัมฤทธิ์จากจีนมาใช้ทำเป็นอาวุธ
ชาวเกาหลีในขณะนั้น อาศัยอยู่ตามถ้ำ มีการรวมกลุ่มกันครอบครัว และรวมตัวกันเป็นสายตระกูล โดยมีชายที่มีอายุมากที่สุดในสายตระกูลเป็นหัวหน้า เมื่อหัวหน้าตระกูลตัดสินใจอะไร สมาชิกก็ต้องปฏิบัติตาม ยกเว้นการตัดสินใจในเรื่องสำคัญจะมีการปรึกษากันเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน นอกจากหัวหน้าสายตระกูลจะมีหน้าที่ทางด้านการปกครองแล้ว ยังมีหน้าที่ทางศาสนาด้วย ชาวเกาหลีในสมัยนั้นยังมีคติความเชื่อว่ามีวิญญาณในธรรมชาติและจักรวาล (Animism) และหัวหน้าตระกูลได้รับการยอมรับว่าสามารถติดต่อกับวิญญาณเหล่านี้ได้ ดังนั้น หัวหน้าตระกูลจึงต้องประกอบพิธีกรรมบวงสรวงวิญญาณเพื่อป้องกันเหตุร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นกับสายตระกูลของตน
ลักษณะที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในยุคก่อนประวัติศาสตร์ คือ การห้ามแต่งงานในสายตระกูลเดียวกัน จึงทำให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสายตระกูล เมื่อความสัมพันธ์กว้างขวางขึ้น จึงเกิดการรวมตัวกันเป็นชนเผ่า มีชื่อว่า ชนเผ่าโชซอนเก่า
ยุคโชซอนเก่า
ในช่วง 300-400 ปีก่อนคริสตกาลนั้น ชนเผ่าโซชอนเก่านั้น มีอิทธิพลอยู่แถบบริเวณลุ่มแม่น้ำเหลียว ซึ่งหัวหน้าตระกูลนั้นได้รับอิทธิพลจากจีนจึงได้สถาปนาตนขึ้นเป็น “กษัตริย์” และตั้งเป็นอาณาจักรโชซอนเก่าขึ้น โดยกษัตริย์ของอาณาจักรโชซอนเก่านั้น สามารถรบชนะรัฐใกล้เคียงในบริเวณลุ่มแม่น้ำเหลียวได้อย่างมากมาย ทำให้อาณาจักรโซซอนสามารถมีอำนาจเหนือบริเวณลุ่มแม่น้ำเหลียวได้ทั้งหมด ต่อมาเมื่ออาณาจักรโชซอนเก่าเริ่มอ่อนแอลง รัฐต่างๆ ก็รวมตัวกันโดยมีรัฐเยนเป็นหัวหน้าเข้าโจมตีอาณาจักรโชซอนเก่า ทำให้อาณาจักรโชซอนเก่าต้องถึงจุดสิ้นสุดลง
การดำรงชีวิตของชนเผ่าโชซอนเก่านั้น มีการพัฒนาจากกการอาศัยอยู่ในถ้ำมาเป็นการสร้างบ้านด้วยไม้ โดยบ้านของชาวเกาหลีนั้น จะมีระบบทำความร้อนโดยการก่อไฟให้ความร้อนอยู่ใต้ถุนบ้าน และระบายควันออกทางปล่องไฟ ซึ่งบ้านแบบนี้ยังสามารถพบเห็นได้ในปัจจุบัน นอกจากนั้นแล้ว มีการรับเทคโนโลยีการใช้เหล็กจากจีน ส่วนประเพณีการฝังศพนั้นในสมัยนี้จะใช้วิธีการขุดหลุมฝังศพหรือไม่ก็ทำเป็นเนินดิน ซึ่งคล้ายกับประเพณีการฝังศพแบบจีนหรือการทำฮวงซุ้ย
ในด้านการปกครองนั้น เมื่อมีการรวมกลุ่มกันมากขึ้น ก็จึงต้องมีข้อกำหนดร่วมกันมาบังคับใช้ในชุมชน โดยมีการจัดทำกฎหมายเกี่ยวกับสมัยโชซอนเก่า เพื่อใช้ในการควบคุมประชาชนในอาณาจักรโชซอนเก่า ซึ่งกฎหมายนี้นั้นจะมีทั้งข้อกระทำผิดและบทลงโทษ เช่น หากขโมยสิ่งของ ก็ต้องไปรับใช้เจ้าของนั้น และต้องชดใช้ด้วยข้าวเปลือกให้แก่เจ้าของสินทรัพย์นั้น แสดงให้เห็นว่า ในสมัยนั้นได้มีทาสเกิดขึ้นแล้ว และมีข้าวเปลือกเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
ต่อมาเมื่อ 109 ปีก่อนคริสตกาล อาณาจักรจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่น ได้ขยายตัวมาทางคาบสมุทรเกาหลี โดยส่งกำลังเขายึดเมืองวังกอม เมืองหลวงของอาณาจักรโชซอนเก่า และรวมดินแดนโชซอนโบราณเข้ากับจีนได้เป็นผลสำเร็จ จากการที่จีนสามารถยึดครองอาณาจักรโชซอนเก่า ทำให้วัฒนธรรมของจีนได้ถูกปลูกฝังในดินแดนแถบนี้เป็นอย่างมาก
ในระหว่างนั้นเอง ได้มีการตั้งอาณาจักรโคกูเรียวขึ้นบริเวณที่ราบลุ่มระหว่างแม่น้ำทงกาและแม่น้ำอัมนก
ซึ่งลักษณะการรวมตัวกันจะคล้ายกับการรวมตัวของชนเผ่าโชซอน คือรวมตัวกันในสายตระกูลหลายตระกูล โดยมีการจัดการปกครองที่มีประสิทธิภาพและมีสภาพสังคมที่ดี ชาวโคกูเรียวนั้นเป็นพวกนักรบที่มีความสามารถสูง ทำให้สามารถโจมตีอาณาจักรข้างเคียงได้อย่างมากมาย เช่น อาณาจักรพูยอและอาณาจักรโอกจอ เป็นต้น
เมื่อถึงสมัยสามก๊ก มีการแย่งชิงอำนาจเกิดขึ้นมากมายในดินแดนประเทศจีนรวมทั้งคาบสมุทรเกาหลีด้วย ทำให้การปกครองดูแลดินแดนทางแถบคาบสมุทรเกาหลีอ่อนกำลังลงจนในที่สุด อาณาจักรโคกูเรียว อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของคาบสมุทรเกาหลี ก็ได้เข้าโจมตีดินแดนของอาณาจักรโชซอนเก่าเป็นผลสำเร็จในปี ค.ศ.313 ทำให้อาณาจักรโคกูเรียวสามารถมีอำนาจอยู่ทางตอนเหนือคาบสมุทรเกาหลีในเวลาต่อมา
ในช่วง 300-400 ปีก่อนคริสตกาลนั้น ชนเผ่าโซชอนเก่านั้น มีอิทธิพลอยู่แถบบริเวณลุ่มแม่น้ำเหลียว ซึ่งหัวหน้าตระกูลนั้นได้รับอิทธิพลจากจีนจึงได้สถาปนาตนขึ้นเป็น “กษัตริย์” และตั้งเป็นอาณาจักรโชซอนเก่าขึ้น โดยกษัตริย์ของอาณาจักรโชซอนเก่านั้น สามารถรบชนะรัฐใกล้เคียงในบริเวณลุ่มแม่น้ำเหลียวได้อย่างมากมาย ทำให้อาณาจักรโซซอนสามารถมีอำนาจเหนือบริเวณลุ่มแม่น้ำเหลียวได้ทั้งหมด ต่อมาเมื่ออาณาจักรโชซอนเก่าเริ่มอ่อนแอลง รัฐต่างๆ ก็รวมตัวกันโดยมีรัฐเยนเป็นหัวหน้าเข้าโจมตีอาณาจักรโชซอนเก่า ทำให้อาณาจักรโชซอนเก่าต้องถึงจุดสิ้นสุดลง
การดำรงชีวิตของชนเผ่าโชซอนเก่านั้น มีการพัฒนาจากกการอาศัยอยู่ในถ้ำมาเป็นการสร้างบ้านด้วยไม้ โดยบ้านของชาวเกาหลีนั้น จะมีระบบทำความร้อนโดยการก่อไฟให้ความร้อนอยู่ใต้ถุนบ้าน และระบายควันออกทางปล่องไฟ ซึ่งบ้านแบบนี้ยังสามารถพบเห็นได้ในปัจจุบัน นอกจากนั้นแล้ว มีการรับเทคโนโลยีการใช้เหล็กจากจีน ส่วนประเพณีการฝังศพนั้นในสมัยนี้จะใช้วิธีการขุดหลุมฝังศพหรือไม่ก็ทำเป็นเนินดิน ซึ่งคล้ายกับประเพณีการฝังศพแบบจีนหรือการทำฮวงซุ้ย
ในด้านการปกครองนั้น เมื่อมีการรวมกลุ่มกันมากขึ้น ก็จึงต้องมีข้อกำหนดร่วมกันมาบังคับใช้ในชุมชน โดยมีการจัดทำกฎหมายเกี่ยวกับสมัยโชซอนเก่า เพื่อใช้ในการควบคุมประชาชนในอาณาจักรโชซอนเก่า ซึ่งกฎหมายนี้นั้นจะมีทั้งข้อกระทำผิดและบทลงโทษ เช่น หากขโมยสิ่งของ ก็ต้องไปรับใช้เจ้าของนั้น และต้องชดใช้ด้วยข้าวเปลือกให้แก่เจ้าของสินทรัพย์นั้น แสดงให้เห็นว่า ในสมัยนั้นได้มีทาสเกิดขึ้นแล้ว และมีข้าวเปลือกเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
ต่อมาเมื่อ 109 ปีก่อนคริสตกาล อาณาจักรจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่น ได้ขยายตัวมาทางคาบสมุทรเกาหลี โดยส่งกำลังเขายึดเมืองวังกอม เมืองหลวงของอาณาจักรโชซอนเก่า และรวมดินแดนโชซอนโบราณเข้ากับจีนได้เป็นผลสำเร็จ จากการที่จีนสามารถยึดครองอาณาจักรโชซอนเก่า ทำให้วัฒนธรรมของจีนได้ถูกปลูกฝังในดินแดนแถบนี้เป็นอย่างมาก
ในระหว่างนั้นเอง ได้มีการตั้งอาณาจักรโคกูเรียวขึ้นบริเวณที่ราบลุ่มระหว่างแม่น้ำทงกาและแม่น้ำอัมนก
ซึ่งลักษณะการรวมตัวกันจะคล้ายกับการรวมตัวของชนเผ่าโชซอน คือรวมตัวกันในสายตระกูลหลายตระกูล โดยมีการจัดการปกครองที่มีประสิทธิภาพและมีสภาพสังคมที่ดี ชาวโคกูเรียวนั้นเป็นพวกนักรบที่มีความสามารถสูง ทำให้สามารถโจมตีอาณาจักรข้างเคียงได้อย่างมากมาย เช่น อาณาจักรพูยอและอาณาจักรโอกจอ เป็นต้น
เมื่อถึงสมัยสามก๊ก มีการแย่งชิงอำนาจเกิดขึ้นมากมายในดินแดนประเทศจีนรวมทั้งคาบสมุทรเกาหลีด้วย ทำให้การปกครองดูแลดินแดนทางแถบคาบสมุทรเกาหลีอ่อนกำลังลงจนในที่สุด อาณาจักรโคกูเรียว อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของคาบสมุทรเกาหลี ก็ได้เข้าโจมตีดินแดนของอาณาจักรโชซอนเก่าเป็นผลสำเร็จในปี ค.ศ.313 ทำให้อาณาจักรโคกูเรียวสามารถมีอำนาจอยู่ทางตอนเหนือคาบสมุทรเกาหลีในเวลาต่อมา
พระมหากษัตริย์ในตำนาน
ตำนานที่เป็นที่แพร่หลายในประเทศเกาหลีเล่าถึงกำเนิดของชนชาติตนว่า เจ้าชายฮวางวุง โอรสของเทพสูงสุดบนสวรรค์ลงมาสร้างเมืองที่ภูเขาแตแบกซาน ได้แต่งงานกับหญิงที่มีกำเนิดจากหมี มีโอรสชื่อตันกุน ต่อมาเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรโชซอนโบราณ เมื่อ 1790 ปีก่อนพุทธศักราช
ดินแดนคาบสมุทรเกาหลีตกเป็นเมืองขึ้นจีนเมื่อ พ.ศ. 434 เมื่อจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ หรือ กวนอู่ตี้ แห่งราชวงศ์ฮั่น ยกทัพเข้ายึดครองดินแดนของอาณาจักรโชซอนโบราณ และแบ่งเกาหลีเป็น 4 มณฑล คือ อาณาจักรนังนัง ชินบอน อิมดุน และฮยอนโท อย่างไรก็ตาม จีนปกครองมณฑลนังนังอย่างจริงจังเพียงมณฑลเดียว มณฑลอื่นๆจึงค่อยๆแยกตัวเป็นเอกราช จน พ.ศ. 856 ชนเผ่าโคกุรยอเข้ายึดครองมณฑลนังนัง ขับไล่จีนออกไปได้สำเร็จ การตกเป็นเมืองขึ้นของจีนทำให้เกาหลีได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากจีนมาก เช่นตัวอักษรและศาสนา (พุทธและขงจื้อ)
ตำนานที่เป็นที่แพร่หลายในประเทศเกาหลีเล่าถึงกำเนิดของชนชาติตนว่า เจ้าชายฮวางวุง โอรสของเทพสูงสุดบนสวรรค์ลงมาสร้างเมืองที่ภูเขาแตแบกซาน ได้แต่งงานกับหญิงที่มีกำเนิดจากหมี มีโอรสชื่อตันกุน ต่อมาเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรโชซอนโบราณ เมื่อ 1790 ปีก่อนพุทธศักราช
ดินแดนคาบสมุทรเกาหลีตกเป็นเมืองขึ้นจีนเมื่อ พ.ศ. 434 เมื่อจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ หรือ กวนอู่ตี้ แห่งราชวงศ์ฮั่น ยกทัพเข้ายึดครองดินแดนของอาณาจักรโชซอนโบราณ และแบ่งเกาหลีเป็น 4 มณฑล คือ อาณาจักรนังนัง ชินบอน อิมดุน และฮยอนโท อย่างไรก็ตาม จีนปกครองมณฑลนังนังอย่างจริงจังเพียงมณฑลเดียว มณฑลอื่นๆจึงค่อยๆแยกตัวเป็นเอกราช จน พ.ศ. 856 ชนเผ่าโคกุรยอเข้ายึดครองมณฑลนังนัง ขับไล่จีนออกไปได้สำเร็จ การตกเป็นเมืองขึ้นของจีนทำให้เกาหลีได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากจีนมาก เช่นตัวอักษรและศาสนา (พุทธและขงจื้อ)
ป้ายกำกับ:
ประวัติศาสตร์เกาหลี
วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555
สถานที่เที่ยวยอดฮิตในกรุงโซล
สถานที่เที่ยวยอดฮิตในกรุงโซล
เมื่อพูดถึงประเทศเกาหลีใต้ จะนึกถึงอะไรกันบ้างครับ ติ๊กต่อก ๆ ...คิดถึงเหล่าบรรดาศิลปินนักแสดง อาหาร และวัฒนธรรมต่าง ๆ กันใช่ไหมล่ะ ถ้าใช่ ก็ถือว่าตอบถูกครับ แต่ยังไม่ถูกทั้งหมด เพราะสิ่งที่เราจะนำเสนอนี้ ไม่ใช่เรื่องของที่กล่าวมาแต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่เป็นศูนย์กลางสำคัญของประเทศเกาหลีใต้ต่างหาก ใช่แล้วครับ สิ่งที่จะมานำเสนอในวันนี้ก็คือสถานที่เที่ยวฮอตฮิตของกรุงโซลเมืองหลวงของแดนกิมจินั่นเอง
เมืองหลวงแห่งนี้มีความสำคัญกับเศรษฐกิจของเอเชียเราอยู่พอสมควร อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ได้รับความนิยมอย่างมากอีกด้วย แต่คุณรู้หรือเปล่าว่าในกรุงโซลนั้น มีสถานที่อันฮอตฮิตที่หากคุณได้มีโอกาสเดินทางไปที่นั่นแล้วล่ะก็ บอกได้คำเดียวว่า "ห้ามพลาดนะครับ"
หมู่บ้านบุกชอนฮันอ๊ก (Bukchon Hanok Village)
หมู่บ้านบุกชอนฮันอ๊กแห่งนี้ ตั้งอยู่ระหว่างพระราชวังเคียงบ๊อคกุง ( Gyeongbokgung Palace) และพระราชวังชางด๊อกกุง (Changdeokgung Palace) ในอดีตเป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ๆ เพราะเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าบรรดาขุนนางระดับสูง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงมรดกทางวัฒนธรรมที่มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โชซอน ซึ่งคนพื้นถิ่นจะเรียกหมู่บ้านแห่งนี้แบบง่าย ๆ สั้น ๆ ว่า "หมู่บ้านบุกชอน" ซึ่งในภาษาเกาหลีจะหมายถึงหมู่บ้านทางเหนือนั่นเอง
พระราชวังเคียงบกกุง (Gyeongbokgung Palace)
พระราชวังแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการปกครองในสมัยราชวงศ์โชซอน ในเขตพระราชวัง ประกอบไปด้วยพระที่นั่งต่าง ๆ มากมาย เช่น ห้องประทับของกษัตริย์และพระราชินี ห้องทรงพระอักษร ท้องพระโรง สวนกลางแจ้ง นอกจากนี้ยังมีพระตำหนักเคียวฮเวรู ที่มีลักษณะเป็นอาคารสองชั้น พระตำหนักถูกสร้างให้ยื่นออกไปกลางสระน้ำ เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงพระราชทานสมัยนั้น
ย่านวัฒนธรรมอินซา-ดง (Insa-dong Culture District)
เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เดินจากหมู่บ้านบุกชอนฮันอ๊กลงมาทางใต้ประมาณ 10 - 15 นาที คุณก็จะเจอกับย่านวัฒนธรรมอินซา-ดง ที่มีทั้งห้องแสดงงานศิลปะ ร้านขายเครื่องแกะสลักแบบพื้นเมือง ร้านขายวัตถุโบราณ ภัตตาคารและร้านน้ำชาตามแบบเกาหลีดั้งเดิม ซึ่งนับเป็นสถานที่สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสกับวัฒนธรรมเกาหลีแบบดั้งเดิมแท้ ๆ นอกจากนี้ ที่นี้ยังเป็นแหล่งวัตถุโบราณ ทั้งภาพเขียนเก่าแก่ งานเครื่องปั้นดินเผา งานกระดาษ และเครื่องเรือนเก่าอีกด้วย
มยองดง (Myeongdong)
ถ้าบ้านเรามีสยามสแควร์ เป็นแหล่งช้อปปิ้งของเหล่าวัยทีนทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องสำอางและอื่น ๆ ที่กรุงโซลก็มีย่าน มยองดง หรือเมียงดง เป็นแหล่งช้อปปิ้งเช่นเดียวกัน เพราะที่นี้ถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางของสินค้าแบรนด์เนมมากมายหลากหลายยี่ห้อ และถ้าเดิน ๆ ช้อปปิ้งจนเริ่มรู้สึกหิวข้าวขึ้นมาแล้วล่ะก็ ไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะที่ก็เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยร้านอาหารชั้นเลิศมากมายเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่า "ช้อป", "ชิม", "เที่ยว" มีอยู่ที่นี่ครบ!
ตลาดนัมแดมุน (Namdaemun Market)
เปลี่ยนบรรยากาศการช้อปปิ้งของหรู ๆ จากย่านเมียงดง มาช้อปปิ้งที่สำเพ็งบ้านเรา เอ๊ย! ล้อเล่นครับ เปลี่ยนมาเป็นตลาดนัมแดมุนต่างหาก เพราะตลาดนัมแดมุนถือเป็นแหล่งค้าขายสินค้าต่าง ๆ ในราคาถูกและซื้อ - ขายในราคาส่งกันจำนวนมาก ที่นี่มีร้านค้ามากมายให้คุณได้เลือกจับจ่ายซื้อของมากหลายพันร้านค้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอเตือนไว้สักนิดว่าหากใครที่ชอบต่อราคาสินค้า ก็ขอให้ระมัดระวังหรือไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน เพราะพ่อค้าแม่ค้าที่นี่ ไม่เคยปรานีใครง่าย ๆ เหมือนกันนะจ๊ะ...จะบอกให้
รถไฟใต้ดิน (Subway)
ไหน ๆ ก็ไปถึงกรุงโซลกันแล้ว คุณก็ไม่ควรพลาดที่จะสัมผัสกับวิถีชีวิตของผู้คนด้วยการขึ้นรถไฟใต้ดินในกรุงโซลนั่นเอง การใช้บริการรถไฟใต้ดินในกรุงโซลนั้น ถือเป็นสิ่งจำเป็นและจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปได้มาก แต่อย่างไรก็ดี หากจะใช้บริการรถไฟใต้ดินแล้วล่ะก็ กรุณาพกแผนที่และแผนผังของสถานีต่าง ๆ ติดตัวเอาไว้ด้วยนะครับ เพราะที่กรุงโซลมีสถานีรถไฟใต้ดินเป็นร้อย ๆ สถานีเลยทีเดียว แถมยังแบ่งเส้นทางอีกตั้ง 8 สาย และเชื่อมต่อสถานีไปที่ต่าง ๆ อีกมากมาย ฉะนั้นแล้วอย่าได้ทำแผนที่หายเป็นอันขาดล่ะ
เป็นอย่างไรกันบ้าง กับทั้ง 6 สถานที่อันฮอตฮิตในกรุงโซลที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ เชื่อได้ว่าอย่างน้อย ๆ ทั้ง 6 สถานที่ที่แนะนำไปนี้ก็จะเป็นไกด์นำทางในการท่องเที่ยวให้กับเพื่อน ๆ กันได้บ้าง ว่าแล้วก็ขอตัวไปเก็บกระเป๋าเดินทางไปกรุงโซลก่อนละกัน แล้วจะเที่ยวเผื่อทุก ๆ คนเลยครับผม
ป้ายกำกับ:
Seoul (โซล)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)